วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

หน้าใคร หน้ามัน


หน้ามันวาว ผิวหน้าหม่นหมอง ไม่สดใส จะแต่งหน้าทั้งทีก็อยู่ไม่ทน
เวลาที่ต้องออกไปนอกบ้าน มันทำให้ฉันหมดความมั่นใจไปในทันที
ฉันจะทำอย่างไรดีนะ กับ หน้ามัน หน้าของฉันเอง

     ยิ่งบริเวณทีโซน ตั้งแต่หน้าผาก จมูก คาง มันวาวสะท้อนได้อีก มันน่าเหนื่อยใจมากๆ ใช่ว่าจะมันวาวใสๆแบบ ดิววี่ลุคซะเมื่อไหร่

     ก่อนอื่น...เราต้องมาทำความรู้จักกับอาการ หน้ามัน กันเสียก่อน หน้ามันเกิดจากการที่รูขุมขนมีการผลิตน้ำมันมากเกินไป ซึ่งจริงๆและ น้ำมันที่ถูกผลิตออกมาจะเป็นเสมือนฟิล์มเคลือบผิว ป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง แต่ในทางเดียวกัน น้ำมันที่ผลิตออกมาก็เป็นนต้นเหตุให้สิ่งสกปรก ขึ้นมาเกาะอยู่ที่ผิวหน้าของเรา สิ่งที่ตามคือ เชื้อโรค และเมื่อสิ่งสกปรกทั้งหลาย เข้าไปอุดตันในรูขุมขน ก็จะทำให้เกิดสิว

      มันน่าอารมณ์เสียมากๆ ที่ในวันๆหนึ่ง เราต้องคอยมาล้างหน้าบ่อยๆ หรือใช้กระดาษซับหน้ามัน สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้ปัญหาหน้ามันบนหน้าของเราลดลงไปได้เลย ดูเหมือนว่ามันจะเป็นหนักกว่าเก่าเสียด้วยซ้ำ

     แล้วหน้ามัน เกิดจากอะไรล่ะ? แท้จริงแล้ว ปัญหาหน้ามันเกิดจากผิวแห้ง เพราผิวมากแห้งมาก ขาดความชุ่มชื่น ผิวหนังจึงผลิตน้ำมันมาเคลือบผิวหน้า เพื่อไม่ให้สูญเสียน้ำหน้าผิวไป ดังนั้น การล้างหน้าบ่อยๆ หรือการใช้กระดาษซับหน้ามันจึงไม่ใช้ทางออกที่ดีนัก

     ความจริงแล้ว เราควรแก้ปัญหาจากการดูแลผิวชุ่มชื่น ทำอย่างไร? ไม่ยาก เพียงเราดื่มน้ำในปริมาณที่พอเหมาะกับร่างกาย หลีกเลี่ยงการปะทะกับแสงแดด หากในแต่ละวันที่ต้องออกกลางแจ้งบ่อยๆ เราควรมีสเปรย์น้ำพกติดตัวไปด้วย เมื่อที่เราต้องถึงคราวออกแดด เราก็หยิบมันขึ้นมาฉีดบนผิวหน้า เป็นการรักษาน้ำหน้าผิวให้ชุ่มชื่น ลดการอาการผิวไหม้จากแสงแดด ยิ่งในปัจจุบัน มีสเปรย์มากมายหลากหลายให้เราเลือกสรร ไม่ว่าจะเป็น สเปรย์น้ำค้าง สเปรย์น้ำแร่ ที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ต่างๆกัน หรืออาจะเป็นมาส์กที่ให้ความชุ่มชื่นกับผิวหน้าของเรา เช่นมาส์กแตงกวา หรือ มะเขือเทศ เป็นต้น

     ผิวหน้าใคร ก็ผิวหน้ามัน หากใครรู้จักการเอาใจดูแลที่ถูกต้อง ผิวสวยก็จะอยู่คู่กับเราไปอีกนาน มีหลากหลายวิธีที่จะรักษาผิวสวยไว้ อยู่ที่เราเลือกเองว่า...จะให้สิ่งไหนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ DEWellness a part of you


วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ความมหัศจรรย์ของน้ำแข็ง


เคยสงสัยนะ ว่าทำไมพวกชาวยุโรปถึงมีรูขุมละเอียดกว่าคนไทย
เคยคิดนะ ว่าเป็นเพราะบ้านเมืองของเขาหนาวหรือเปล่า
ถ้างั้น...ฉันเอา"น้ำแข็ง"มาประคบผิวหน้าดู
ฉันจะมีรูขุมขนที่ละเอียดกว่าเดิมมั้ยนะ

     น้ำแข็ง...ที่เราใช้ใส่กับอาหารหรือเครื่องดื่ม จะในชา กาแฟ หรืออะไรก็ตามเพื่อเพิ่มความสดชื่นนั้น แท้จริงแล้วน้ำแข็งยังมีสรรพคุณที่น่าสนใจเกี่ยวกับความสวยความงามอีกด้วย
น้ำแข็งมีประโยชน์ในการบำรุงผิวหน้าอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการกระชับรูขุมขน การทำให้ผิวหน้าสุขภาพดี แลดูมีเลือดฝาด การลดการอักเสบ ลดการเกิดสิว เยอะแยะอีกมากมาย

     น้ำแข็งช่วยให้รูขุมขนกระชับ ด้วยความเย็นจากน้ำแข็งจะช่วยกระตุ้นชั้นผิวให้กระชับ รูขุมขนจึงเล็กลง เมื่อเรานำน้ำแข็งมาลูบผิวหน้าเป็นประจำ จะทำให้ผิวกระชับ เรียบเนียน แถมยังช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยได้อีกด้วย

     น้ำแข็งช่วยลดอาการอักเสบของผิวหน้า ด้วยฤทธิ์เย็นจากน้ำแข็ง จะช่วยลดการอักเสบ บวมแดงต่างๆของผิว เช่นการอักเสบจากสิว หรือแม้แต่การอักเสบไหม้แดงจากแสงแดด


     รู้หรือไม่? ว่าน้ำแข็งสามารถช่วยทำให้เครื่องสำอางติดทนนานมากขึ้นอีกด้วย นอกจากสเปรย์น้ำแร่แล้ว น้ำแข็งก็ดีไม่แพ้กัน โดยเราสามารถนำน้ำแข็งมาลูบผิวหน้าแล้วซับให้แห้ง นอกจากนี้ น้ำแข็งก็ยังช่วยประคบดวงตา ลดการบวมของตาได้อีกด้วย

     ธรรมชาติ...มีอะไรดีๆซ่อนอยู่จริงๆ แม้แต่น้ำแข็งที่เราคิดว่ามันจะมีประโยชน์แค่ตอนดื่มน้ำเพื่อเพิ่มความสดชื่น น้ำแข็งยังประโยชน์ให้เราได้มีผิวสวยสุขภาพดีอีกด้วย

     เพราะเราเชื่อว่า...คุณเลือกได้ ว่าจะให้สิ่งไหนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ DEWellness a part of you.



วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

"สมุนไพร" ของขวัญล่ำค้าที่ธรรมชาติให้


สมุนไพร คือยาวิเศษที่มีมาแต่ช้านานแสนนาน
ถึงแม้ในปัจจุบัน สมุนไพร จะถูกยาสมัยใหม่แทนที่ในช่วงหนึ่ง
แต่ถึงอย่างนั้น สมุนไพร ก็กลับเข้ามาเจิดจรัสอีกครั้งในยุคที่มนุษย์โหยหาธรรมชาติ

     จริงอยู่...โลกเราสกปรกมากขึ้นทุกวัน มลพิษมากขึ้นทุกวัน ใครจะรู้ว่าในวันๆหนึ่งเราต้องเสพสารพิษ มลพิษรอบตัวไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ นานขนาดไหนจนเราไม่รู้เลยว่า ตอนนี้มนษย์เรามีภาวะสุขภาพกึ่งแข็งแรงเป็นโรคยอดฮิต แต่ถึงอย่างนั้นมนุษย์เราก็ยังไม่เคยยอมธรรมชาติ เสาะแสวงหาสิ่งที่จะทำให้สุขภาพแข็งแรงไร้โรคภัย และสุดท้ายมนุษย์ก็หันกลับเข้าธรรมชาติ

      แต่ถึงอย่างไร สมุนไพรจากธรรมชาติ ในบางครั้งก็ใช่ว่าจะได้ประโยชน์เสมอไป หากบริโภคมากไปกลับได้โทษเสียเปล่า คราวนี้...เราจะบริโภคอย่างไร ให้ได้คุณค่าสมุนไพรมากที่สุด

เคล็ดลับการเตรียมสมุนไพรควรคำนึงถึงอะไรบ้าง
  1. การเลือกสมุนไพร ที่จะนำมาทำน้ำสมุนไพร ถ้าเป็นสมุนไพรสด ต้องเลือกที่สด เก็บมาจากต้นใหม่ๆ ตามฤดูกาล สีสันเป็นธรรมชาติตามชนิดของสมุนไพร ไม่มีรอยช้ำเน่า สมุนไพรที่สดใหม่ช่วยให้ได้คุณค่าทางโภชนาการสูง สีสันน่ารับประทาน ถ้าเป็นสมุนไพรแห้ง ควรเลือกสมุนไพรที่ใหม่สะอาด ดูลักษณะ สี กลิ่น และไม่มีเชื่อรา
  2. ความสะอาดของสมุนไพร ควรล้างให้ถูกวิธี ถ้าเป็นสมุนไพรแห้งจะต้องล้างอย่างน้อย 1-2 ครั้ง ถ้าเป็นสมุนไพรสด ควรล้างอย่างน้อย 2-3 ครั้ง เพื่อป้องกันสารเคมีและสิ่งปนเปื้อนที่ติดมา
  3. ภาชนะที่ใช้ จะต้องสะอาด เลือกให้เหมาะกับชนิดของสมุนไพร ภาชนะที่ต้มควรจะเป็นหม้อเคลือบ ไม่ควรใช้หม้ออลูมิเนียม เพราะอาจทำให้กรดที่อยู่ในสมุนไพรกัดภาชนะ ถ้าเป็นหม้อหรือกระทะทองเหลือง จะทำให้รสชาติของน้ำสมุนไพรเปลี่ยนไป นอกจากนี้การที่เราดื่มน้ำสมุนไพรที่มีโลหะหนักผสมอยู่ อาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ สำหรับภาชนะที่บรรจุควรจะเป็นขวดแก้ว จะสะดวกในการนึ่งเพื่อฆ่าเชื้อโรค และน้ำสมุนไพรจะไม่ทำปฏิกิริยากับขวดแก้ว ภาชนะที่เป็นแก้วยังดูใสสะอาดน่าดื่มยิ่งขึ้น การนึ่งฆ่าเชื้อหลังจากล้างภาชนะที่บรรจุแล้ว ควรลวกหรือต้มด้วยน้ำเดือด แล้วผึ่งให้แห้งและเมื่อบรรจุแล้วควรนึ่งเพื่อฆ่าเชื้ออีกไม่น้อยกว่า 20-30 นาที ปล่อยให้เย็นแล้วจึงนำเข้าตู้เย็น ถ้าทำตามขั้นนี้จะสามารถเก็บได้นานถึง 2-3 สัปดาห์

วิธีดื่มและข้อควรคำนึงเกี่ยวกับน้ำสมุนไพร

     ปัจจุบันมีผู้คิดค้นหาวิธีการรักษาโรคต่างๆ โดยใช้น้ำสมุนไพร ที่ทำจากผัก ผลไม่ ธัญพืชต่างๆ น้ำสมุนไพรบางชนิดดื่มลำบาก ในช่วงแรกของการดื่มอาจจะทำให้รู้สึกอึดอัด เนื่องจากรสชาติไม่ค่อยตรงกับรสนิยมของผู้ดื่ม แต่จะเป็นเพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น วิธีการดื่มที่ดี ควรดื่มแบบจิบช้าๆ และควรดื่มทันทีที่ปรุงเสร็จ เพื่อให้ได้คุณค่าทางอาหารและทางยา มากกว่าปล่อยทิ้งไว้นานแล้วดื่ม เนื่องจากจะทำให้คุณค่าลดลง
นอกจากนี้ยังสามารถทำดื่มได้ทั้งร้อนและเย็นตามความชอบของแต่ละบุคคล การดื่มน้ำสมุนไพรชนิดเดียวกันติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดการสะสมของ สารบางชนิดที่มีฤทธิ์ต่อร่างกายได้ การดื่มน้ำสมุนไพรร้อนๆ ที่มีอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส ขึ้นไปทำให้เยื่อบุผิวหลอดอาหารเสียสภาพภูมิคุ้มกัน เฉพาะที่และอาจทำให้มีการดูดซึมสารก่อมะเร็ง และจุลินทรีย์ได้ง่าย

ขอบคุณข้อมูลจาก โครงการเคมี กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี


"ฮวงจุ้ย" ห้องครัวที่ดี ส่งเสริมให้สุขภาพแข็งแรง



แสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้า ทำให้ร่างกายได้รับพลังวันใหม่จากธรรมชาติได้ดี
ส่งเสริมให้เรา...มีสุขภาพที่แข็งแรง

     หลายครั้งฉันเองก็สงสัย...ว่าทำไม จะสร้างบ้านหรือวางผัง ทำไมต้องมีฮวงจุ้ย ทำไมฉันอยากให้ห้องนอนอยู่ตรงนี้ ห้องน้ำอยู่ตรงนั้น ห้องครัวอยู่ตรงโน้น ทำไมๆๆๆ ต้องเรื่องมาก ต้องดูหลักฮวงจุ้ยก่อนเสมอ

     "ฮวงจุ้ย" ศาสตร์จีนที่มีแต่โบร่ำโบราณ ดูมีความลึกลับ ซับซ้อน กฏเกณฑ์มากมาย จะขยับตัวไปไหนก็ต้องมีฮวงจุ้ย ฮวงจุ้ยคืออะไร แล้วฮวงจุ้ยจะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นจริงหรือไม่

     สุขภาพก็เช่นกัน หากเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ก็จะส่งเสริมให้ดีตามไปด้วย ว่ากันว่าตำแหน่งของห้องต่างๆในบ้านจะทำให้สุขภาพร่างกายของเราแข็งแรง แข็งแรงอย่างไร

     ห้องครัว เป็นห้องที่เราหิวอะไรก็ต้องเดินมาที่นี่ สกปรกง่ายกว่า และมีกลิ่นต่างๆนานามากมายจากเครื่องเทศ วัตถุดิบต่างๆ ดังนั้น มันคือเรื่องละเอียดอ่อนมากในการดูแล


    หากแต่ห้องครัวที่เหมาะสมควรอยู่ในทิศตัวออกและควรอยู่ห่างจากห้องนอน เพราะอะไร ในยามเช้า...แสงแดดที่ทอประกายมานั้นจะทำให้เรารู้สึกสดชื่น พร้อมรับพลังงานสำหรับวันใหม่ เป็นการเริ่มต้นที่ดี และการที่เราพักผ่อนนอนหลับ หากมีกลิ่นรบกวน ทำให้เราไม่สามารถหลับนอนได้สนิท เป็นอีกหนึ่งหลักจิตวิทยาผสมผสานหลักวิทยาศาสตร์ นี่แหละว่าทำไมถึงควรตั้งห้องครัวไว้ข้างๆห้องนอนนั่นเอง

     ถึงอย่างไร การวางผังบ้านก็ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำให้สุขภาพร่างกายของคุณแข็งแรงทุกประการ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเริ่มต้นจากตัวคุณด้วย เพราะเราเชื่อ...คุณเลือกได้ ว่าจะให้สิ่งไหนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ DEWellness a part of you.



วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2559

เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย



เดี๋ยวร้อน...เดี๋ยวหนาว...เดี๋ยวฝนตก
วันๆนึงไม่รู้จะมีกี่ฤดู เปลี่ยนไป เปลี่ยนมา
จนเราปรับตัวตามไม่ทันแล้ว
ล่าสุด! ประเทศไทยได้งัดแฟชั่นชุดกันหนาวออกมาเดินกันกทม.กันเสียที
ทั้งที่จริงแล้ว มันควรจะหนาวตั้งแต่พฤศจิกายนแล้ว
เพราะภาวะโลกร้อน ทำให้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย
แล้วเรา...ซึ่งเป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กๆ จะปรับตัวกันอย่างไร

     หลายคน...เริ่มไม่สบาย ไอ จาม กันให้จ้าละหวั่น ทำให้คนที่ยังสบายดีอย่างเราระแวงไปด้วย กลัวติดไข้หวัดจากคนเหล่านั้น ถึงแม้เสื้อกันหนาวฟรุ้งฟริ้งจะมีให้เห็นกันทั่วเมืองตอนนี้แต่นั่น...จะช่วยปกป้องเราจากสภาวะเปลี่ยนแปลงได้จริงหรือ?

     มาเพิ่มความแข็งแรงและภูมิคุ้มกันของตนเองกันดีกว่า เริ่มต้นง่ายๆจากตัวเรา ทานอาหารที่มีสารอาหารจำพวก สังกะสี ซีลิเนียม ธาตุเหล็ก ฉะนั้นเราควรทานจำพวกถั่วต่างๆ แถมยังได้วิตามินบี 2 ช่วยเพื่อประสิทธิภาพในการทำงานของสมองอีกด้วย

     ต่อมา...มาปรับอุณภูมิในห้องนอน เพื่อความสมดุลและความเหมาะสม ทำให้เราพักผ่อนได้เพียงพอและเป็นการลดโอกาสที่เชื้อแบคทีเรียต่างๆจะเจริญเติบโต การพักผ่อนนอนหลับ ช่วยให้ร่างกายของเรามีการฟื้นฟูที่ดีขึ้น หากเราพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายจะอ่อนแอและติดเชื้อได้ง่าย

     การนำเท้าแช่น้ำอุ่น เป็นการปลุกภูมิคุ้มกันให้ตื่นตัว โดยนำเท้าแช่น้ำที่อุณหภูมิประมาณ 35-40 องศาเซลเซียส ประมาณ 10 นาที หลังจากนั่น เช็ดเท้าให้แห้งและทาโลชั่นให้กับเท้า

     การนั่งสมาธิ การมองโลกในแง่ดี เป็นการปรับสมดุลให้กับการทำงานของระบบร่างกาย ทำให้ระบบภูมิกันทำงานได้ดีมากขึ้น



     ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง หลายๆคนงานยุ่งมากเกินไปจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย ลองกำหนดเวลาให้ตัวเองอย่างน้อยวันละ 30 นาที เพื่อให้ร่างกายได้ใช้กำลัง ระบายของเสียออกทางเหงื่อบ้าง นอกจากจะทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าแล้ว ยังทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงอีกด้วย

     ทานผักและผลไม้ เพิ่มคลอโรฟิลด์ แคโรทีนอยด์ แอนโทไซยานิน เพิ่มความแข็งแรงให้กับภูมิคุ้มกันร่างกาย ทานผักสีเขียว สีเหลือง หรือสีแดง เช่นผักกาด ฟักทอง มะเขือเทศ เป็นต้น

   ที่สำคัญ...การมองโลกในแง่ดี จะทำให้ร่างกายแข็งแรงจากภายในอีกด้วย ลองสังเกตร่างกายเวลาที่ไม่สบาย หากเราหมดกำลังใจ หรือห่อเหี่ยว ก็จะทำให้ร่างกายทรุดหนักว่าเดิม แต่ถ้าหากเรามีกำลังใจ มองโลกในแง่ดีและไม่ทำตัวอีดออด ไม่นานร่างกายก็จะฟื้นฟูได้รวดเร็ว

    ถ้าร่างกายของเราแข็งแรงซะอย่าง ต่อให้อากาศจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ก็ไม่สามารถทำร้ายร่างกายของเราแน่นอน เพราะเรามีภูมิคุ้มกันที่ดี เพราะเราแข็งแรง เราเชื่อว่า...คุณเลือกได้ว่าจะให้สิ่งไหนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ DEWellness a part of you






    

วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2559

"เลือดพร่อง" 1 สาเหตุของสุขภาพ "กึ่งแข็งแรง"




หน้าตาของฉันซีดเซียว มือไม้อ่อนแรง เย็นเฉียบ ซีดผาด เพราะ...เลือดน้อย?
พักหลังเป็นตะคริว เหน็บชา เพราะเลือดน้อย?
ใครจะรู้...ว่าสัญญาณเหล่านี้คือภาวะเลือดพร่อง สาเหตุที่ทำให้คุณมีสุขภาพ "กึ่งแข็งแรง"


เรื่องของเลือด ในความหมายของแพทย์แผนจีนคืออะไรเลือดคือของเหลวข้นสีแดงที่อยู่ในหลอดเลือด เป็นส่วนประกอบของร่างกายและเป็นตัวหล่อเลี้ยงพื้นฐานให้กับการดำรงอยู่ของชีวิต
เลือดจะต้องไหลเวียนคล่อง และไหลอยู่ในหลอดเลือด และตัวเลือดเองต้องเป็นเลือดที่มีคุณภาพ

เลือด เกิดได้อย่างไร เลือดที่มีคุณภาพดีเกี่ยวข้องกับอะไร
เลือดเกิดจากอาหารที่ได้รับการย่อยดูดซึม และแปรเปลี่ยนเป็นหยิงซี่  และจินเย่ 
หยิงซี่  เป็นส่วนสุดยอดที่ดีที่สุดของสารอาหารที่เกิดจากการย่อยดูดซึมและกลายเป็นส่วนของเลือดเพื่อนำไปบำรุงเลี้ยงร่างกาย
จินเย่  คือส่วนของสารน้ำ ของเหลวในร่างกาย ที่สามารถซึมผ่านเข้าสู่หลอดเลือดได้
เลือดที่ดีมีคุณภาพมาจากปัจจัยหลายประการ คือ

  • อาหารที่กินเข้าไป
  • การทำงานหรือพลังของม้ามและกระเพาะ-อาหาร ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการย่อยอาหารและดูดซึมอาหาร รวมทั้งแปรเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นเลือด
  • การทำงานของปอด ที่จะทำให้เลือดเป็นเลือดที่สดและสะอาด
  • การทำงานของไต ไตมีหน้าที่เก็บจิง  (ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบประสาทอัตโนมัติและการหลั่งสาร คัดหลั่งฮอร์โมน เอนไซม์) ไตสร้างไขกระดูก  (ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดง)
ภาวะเลือดพร่องมีความหมายอย่างไร มีอาการและอาการแสดงออกอย่างไรภาวะเลือดพร่อง เป็นภาวะการขาดเลือด ทำให้อวัยวะภายในจั้งฝู่ขาดเลือดหล่อเลี้ยง ทำให้ใบหน้าขาวซีดหรือเหลืองซีดร่วมกับมีอาการเวียนศีรษะ ตาลาย ใจสั่น นอนไม่หลับ บางครั้งมีอาการแขนขาชา ในสตรีจะมีประจำเดือนน้อยสีซีด ประจำเดือนมาช้ากว่ากำหนด กระทั่งขาดประจำเดือน
การตรวจร่างกาย ตัวลิ้นขาวซีด ชีพจรเล็กไม่มีแรง


สาเหตุของเลือดพร่องที่พบบ่อยๆ ได้แก่อะไร
  • ระบบการย่อย ม้ามและกระเพาะอาหารพร่อง
  • เสียเลือดเรื้อรังจากโรคต่างๆ เช่น โรคแผลในกระเพาะอาหาร
  • เครียดเรื้อรัง ทำให้เลือดและยินพร่อง
  • เลือดอุดกั้น ทำให้สร้างเลือดใหม่ไม่ได้
  • จิงของไตไม่พอ ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเลือด
  • พยาธิในลำไส้ ทำให้เสียเลือดต่อเนื่อง
ผลของเลือดพร่องเกิดอะไรขึ้นเลือดให้การหล่อเลี้ยง ถ้าเลือดเพียงพอ สีผิวจะแดงมีน้ำมีนวล ถ้าเลือดพร่อง กล้ามเนื้อผิวหนัง ใบหน้าริมฝีปาก เล็บ ตัวลิ้นซีดขาวไร้ชีวิตชีวา เลือดไปเลี้ยงที่ ตาและศีรษะไม่พอ ทำให้เวียนศีรษะ ตาลาย ความมีชีวิตชีวาอาศัยเลือด เลือดพร่องทำให้หัวใจและสมอง  ขาดการหล่อเลี้ยง เกิดอาการใจสั่น นอนไม่หลับ เลือดที่ไปเลี้ยงแขนขาน้อยลง มีอาการชามือเท้า ในสตรีเมื่อขาดเลือด ประจำเดือนก็น้อยจนกระทั่งไม่มีประจำเดือน ชีพจรขนาดเล็ก ไม่มีกำลัง

ภาวะเลือดพร่องกับยินพร่องต่างกันอย่างไรผู้ป่วยบางคนมีภาวะยินพร่อง แต่เข้าใจผิดไปซื้อยาบำรุงเลือดพร่อง ทำให้อาการของโรคอาจรุนแรงขึ้นได้
ยาจีนในท้องตลาดต้องแยกให้ชัดว่า เน้นไปที่บำรุงยินหรือบำรุงเลือด
ความจริงยาบำรุงเลือดมีบางส่วนของยาบำรุงยิน เลือดเป็นส่วนหนึ่งของยิน ยินพร่องกับเลือดพร่องมีอาการหลายอย่างคล้ายกัน เช่น ชีพจรเล็ก เวียนศีรษะ ตาลาย นอนไม่หลับ
ข้อแตกต่างที่สำคัญคือ ยินพร่อง
จะมีอาการร้อนร่วมด้วย เช่น แก้มแดง ลิ้นแดง หงุดหงิด ปากแห้ง ชีพจรเร็ว เป็นต้น ขณะที่เลือดพร่องไม่มีอาการร้อน เช่น ใบ หน้า ริมฝีปาก เปลือกตา เล็บ ลิ้นจะมีสีขาวซีด
อาการที่เรียกว่า "เลือดของหัวใจพร่อง" และ "เลือดตับพร่อง" เป็นอย่างไรทั้ง ๒ ภาวะ มีอาการของเลือดพร่องเหมือนกัน แต่เนื่องจากการขาดเลือดไปมีผลต่ออวัยวะของหัวใจและตับอย่างเด่นชัด ทำให้มีลักษณะเฉพาะ คือเลือดหัวใจพร่อง มีอาการทางหัวใจและ สมองเด่นชัด เช่น ใจสั่น ตกใจง่าย นอนไม่หลับ ฝันบ่อย ลืมง่าย เลือดตับพร่อง ชายโครงปวดตื้อๆ มองไม่ชัดเวลากลางคืน (ตาบอดไก่) แขนขาชา มีตะคริว


เลือดพร่องในความหมายแพทย์แผนปัจจุบันได้แก่โรคอะไร
เทียบเท่ากับ
โรคเลือดจาง มะเร็งเม็ดเลือดขาว ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ พยาธิปากขอ โรคประจำเดือนผิดปกติ ภาวะไขกระดูกฝ่อ ภาวะเม็ดเลือดแดงแตก

อย่างไรก็ตาม การดูแลสุขภาพที่ดี การพักผ่อนที่เพยงพอ ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็จะทำให้เรามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง เพราะเราเชื่อว่า...คุณเลือกได้ ว่าจะให้สิงไหนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ DEWellness a part of you


ขอบคุณข้อมูลจากนิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่309 มกราคม 2548

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559

"ซี่พร่อง" หนึ่งในภาวะ"กึ่งแข็งแรง"


     หยิน หยาง ศาสตร์จีนที่มีมานานแสนนาน เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเลือด ลม ถ้าหากส่วนใดส่วนหนึ่งมีมากหรือน้อยเกินไป ก็จะทำให้เรากลายเป็นคนภาวะ "สุขภาพกึ่งแข็งแรง"

     บ่อยๆ ที่เรารู้สึกอ่อนเพลีย อ่อนแรง เมื่อยล้า ภายหลังการตรากตรำทำงานมาทั้งวัน อยากจะนอนหลับพักผ่อน พอหลับไปสักงีบ รู้สึกว่ากลับมากระชุ่มกระชวยอีกครั้ง
แต่มีผู้ป่วยหรือคนบางคน (บางครั้งอาจรู้สึกว่าไม่ใช่ผู้ป่วย) จะมีความรู้สึกเมื่อยล้า อ่อนแรง ไม่ค่อยอยากพูด พูดแล้วไม่มีกำลัง ไปเดินเหินมากหน่อย หรือไปวิ่งออกกำลังกายอาการจะเหนื่อยรุนแรงขึ้น บางครั้งมีอาการตาลาย เวียนศีรษะ ซึ่งมีอาการเป็นประจำทุกวัน
ผู้ป่วยเหล่านี้บางครั้งมาพบแพทย์ด้วยอาการต่างๆ บางครั้งตรวจพบความผิดปกติบ้าง ไม่พบความผิดปกติบ้าง ขึ้นกับความรุนแรงของโรค แพทย์จีนจัดคนกลุ่มนี้เป็นพวกพลังพร่อง

พลังพร่องคืออะไรพลัง เป็นหยาง เป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญของการทำให้มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทางสรีระของอวัยวะภายใน (จั้งฝู่) ของร่างกายเป็นตัวกระตุ้น ขับเคลื่อน ให้ความอบอุ่น ปกป้องอันตรายจากภายนอก ดึงรั้งสารต่างๆ และสารน้ำให้อยู่ในร่างกาย ช่วยการเปลี่ยนแปลงย่อยอาหาร บำรุงเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย การขาดพลังหรือพลังพร่อง จึงทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเสื่อมถอย อวัยวะภายในอ่อนแอ จึงเกิดอาการได้หลายระบบ
อาการพลังพร่อง และการตรวจพบความผิดปกติอะไร
- คนที่พลังพร่อง จะมีใบหน้าไม่สดใส ไร้ชีวิตชีวา เหนื่อยง่าย พูดไม่มีกำลัง เสียงเบา ไม่ค่อยอยากจะพูด เวลาเดินหรือออกกำลังกายมักจะเหนื่อยมากขึ้น
- อาการร่วมอื่นๆ เช่น เวียนศีรษะ ตามัว เหงื่อออกง่าย ตรวจร่างกาย : ตัวลิ้นซีด หรือบวมอ้วนมีรอยฟันหยักที่ขอบลิ้น ชีพจรเล็ก หรืออ่อนพร่องและไม่มีกำลัง


พลังพร่องมีหลายระบบ มีแสดงออกต่างกันอย่างไร
พลังพร่องเป็นลักษณะทั่วไป ถ้าอวัยวะใดมีพลังอ่อนแอ ก็จะแสดงอาการเฉพาะตามระบบนั้นๆ เช่นพลังหัวใจพร่อง  นอกจากมีอาการพลัง พร่องแล้ว ยังมีอาการใจสั่น ตื่นตระหนก หายใจสั้นพลังปอดพร่อง  นอกจากมีอาการพลัง พร่องแล้ว ยังมีอาการหายใจเร็วตื้น ไอมีเสมหะมาก เสียงไม่มีพลังพลังม้ามพร่อง  มีพลังพร่องและมีอาการเพิ่มเติมคือ ความอยากอาหารลดลง ท้องอืดแน่น อุจจาระเหลวเป็นน้ำพลังตับพร่อง  มีพลังพร่องและมีอาการเพิ่มเติมคือ อึดอัด หงุดหงิด ตกใจง่าย ไม่ทนต่อการใช้แรงงาน ชอบถอนหายใจพลังไตพร่อง  มีพลังพร่องและมีอาการ เพิ่มเติมคือ ปวดเมื่อยเอวและเข่า เคลื่อนไหวมากจะมีอาการหอบ ปัสสาวะกลั้นไม่อยู่ สมรรถภาพทางเพศเสื่อมพลังปกป้องผิวพร่อง  มีพลังพร่องและ มีอาการเพิ่มเติมคือ กลัวลม เหงื่อออกง่าย เป็นหวัดง่ายพลังส่วนกลางของร่างกายพร่อง  มีพลังพร่องและมีอาการเพิ่มเติมคือ ท้องอืด ท้องเสีย ตากระตุก อวัยวะภายในหย่อน


สาเหตุของพลังพร่องคืออะไร
- พื้นฐานทางพันธุกรรม
- การบำรุงและกินอาหารไม่ถูกต้อง
- อวัยวะภายใน ปอด ม้าม ไตเสื่อมสมรรถภาพ ทำให้การเกิดพลังของร่างกายไม่เพียงพอ
- การเจ็บป่วยเรื้อรัง ทำลายชี่และจิง
- เหนื่อยอ่อนล้าจากการทำงาน และฟื้นฟูไม่พอ
- อายุมากขึ้น มีการเสื่อมของร่างกาย

กลไกลการเกิดโรคของพลังพร่องคืออะไร

พลังเป็นรากฐานของมนุษย์ พลังเป็นตัวขับเคลื่อน ให้ความอบอุ่น ให้การย่อยสลายอาหาร ปกป้องร่างกาย ดึงรั้งสารน้ำของเหลวและเลือดให้อยู่ในร่างกาย นำอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย พลังของร่างกายมีหลายชนิด เช่น
พลังหยวนชี่  มีกำเนิดจากไต ผ่านทะลวง ซานเจียว ช่องกลวงที่บรรจุอวัยวะภายใน ถ้าหยวนชี่ อ่อนแอ การทำงานของอวัยวะภายในเสื่อมถอย ทำให้ไม่มีพลัง เหนื่อยง่าย ไม่มีชีวิตชีวา เสียงเบาไม่มีพลัง พลังที่จะผลักดันให้อาหารไปเลี้ยงสมอง หรือส่วนบนร่างกายลดลง ทำให้เวียนศีรษะ ตาลาย
พลังปกป้องผิวอ่อนแอ ทำให้ไม่สามารถดึงรั้งเหงื่อไว้ในร่างกาย ทำให้เหงื่อออกง่าย
เวลาใช้แรงงานมีการเสียพลัง พลังยิ่งไม่พอ ทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น
พลังไม่พอ ทำให้เลือดมาหล่อเลี้ยงที่ลิ้นลดลง ทำให้ลิ้นซีด อ่อนนุ่ม
พลังไม่พอทำให้ชีพจรเต้นอ่อนแรง คลำได้ยาก

พลังพร่องนานๆ จะเกิดอะไรขึ้น
๑. เกิดโรคกับอวัยวะภายในต่างๆ ตามที่กล่าวมาแล้ว
๒. เป็นนานๆ ทำให้เกิดภาวะหยางพร่อง
๓. พลังพร่องทำให้เลือดพร่อง พลังพร่องทำให้ไม่สามารถดึงรั้งเลือดให้อยู่ในหลอดเลือดได้ ทำให้เลือดออก พลังพร่องยังทำให้เลือดไม่ไหลเวียน เกิดเลือดอุดกั้น
๔. ทำให้พลังปกป้องผิวไม่ดี เป็นหวัดง่าย เหงื่อออกง่าย
๕. พลังพร่องทำให้มีการตกค้างไม่เคลื่อนไหว ยิน หรือสารน้ำต่างๆ ตกค้าง เกิดเป็นไฟ เกิดไข้เนื่องจากพลัง พร่อง

ตำรับพื้นฐานของสมุนไพรจีนในการรักษาพลังพร่องคืออะไรหลักการจัดตำรับยาคือ เสริมพลังบำรุงพร่อง
โดยใช้ตำรับยาพื้นฐานซื่อ-จวิน-จื่อ-ทัง
ซึ่งมีตัวยาสำคัญ ๔ ตัว คือ
- เหยิน-เซิน หรือ ตั่ง-เซิน 
- ไป่-จู๋
- ฟู่-หลิง
- จื้อ-กาน-เฉ่า
มีการปรับลดยาตามสภาพของโรค
โรคพลังพร่องเกี่ยวกับหรือคล้ายคลึงกับโรคอะไรในแพทย์แผนปัจจุบันเกี่ยวข้องกับโรคเกือบทุกระบบ แล้วแต่ว่าจะพร่อง ระบบไหน เช่น
ระบบหัวใจหลอดเลือด - หลอดเลือดอุดตัน หัวใจขาดเลือด
ระบบทางเดินหายใจ    - ภูมิแพ้ หอบหืด
ระบบย่อยอาหาร          - อาหารไม่ย่อย ท้องเสีย
ระบบต่อมไร้ท่อ            - ฮอร์โมนต่างๆ ลดน้อยลง
ระบบสืบพันธุ์                - มีบุตรยาก เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
ระบบเลือด                   - ตกเลือด เลือดจาง
ระบบภูมิคุ้มกันต่ำ         - เป็นหวัดง่าย ติดเชื้อง่าย
ภาวะพลังพร่องควรรักษาแบบแผนจีนหรือแบบแผนปัจจุบัน
ความจริง พลังพร่องไม่มีการวินิจฉัยด้วยแผนปัจจุบัน ในระดับของการพร่องเล็กน้อย บางครั้งผู้ป่วยจะมีอาการไม่รุนแรง เป็นๆ หายๆ ตรวจไม่พบความผิดปกติที่แน่ชัดด้วยแผนปัจจุบัน ผู้ป่วยประเภทนี้ควรให้ การดูแลด้วยแพทย์แผนจีนจะดีมาก

ถ้ามีอาการและความรุนแรงมากขึ้น การรักษาด้วย แพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนจีนควรจะต้องพิจารณาร่วมกัน อะไรเป็นหลัก อะไรเป็นรองในแต่ละระยะ บางครั้งต้องรักษาร่วมกัน แผนปัจจุบันรักษาเฉพาะจุด แผนจีนรักษาองค์รวม จะทำให้การรักษาเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด


รู้อย่างนี้แล้ว เราควรที่จะหันมาใส่สุขภาพกันมากขึ้น พักผ่อนอย่างเพียงพอ ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ออกกำลังกาย แบ่งเวลาให้เหมาะสม เราเลือกได้ ว่าเราจะปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อดูแลรักษาสุขภาพของเราให้แข็งแรง DEWellness a part of you



ขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสารหมอชาวบ้าน ฉบับที่ 308 ธันวาคม2547

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2559

ถ้าหาก...ฉันเป็น "มะเร็ง"




     "ผม ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าโรคนี้จะเกิดขึ้นกับผม ทั้งๆที่ผมก็ดูแลตัวเองดีมาก อาหารการกิน ผมไม่เคยละเลยแม้สักนิด ออกกำลังกาย วิ่งทุกเย็น ผมไม่เชื่อ...ว่ามันจะเกิดขึ้นกับผม ไม่มีทางที่ผมจะเป็นมะเร็ง"

     คำพูดประโยคนี้ยังลอยวนอยู่ในโสตประสาททุกครั้งที่นึกถึงเรื่องที่ไม่คาดหวัง ไม่ว่าจะดีหรือร้าย สิ่งที่ไม่คาดหวังย่อมเกิดกับเราเสมอ อาจารย์ท่านนึงเคยกล่าวกับฉันไว้ว่า ความแน่นอน คือความไม่แน่นอน ฉันเองก็คิดเช่นนั้น เมื่อมีเรื่องไม่สบอารมณ์เกิดขึ้นกับฉันเอง

     ว่าแต่ตัวเรา...หากนึกไปว่า วันหนึ่ง...เราเกิดโรคร้ายแรงชนิดที่ไม่สามารถรักษาได้อีกแล้ว เราจะทำอย่างไร เราจะรู้สึกอย่างไร เราจะหาทางออกให้กับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร ในเมื่อเวลา...ไม่มีวันย้อนกลับเหมือนสายน้ำที่ไหลริน

     ใช่ว่าการดูแลตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบจะทำให้คุณมีชีวิตนิรันดร์ ใช่ว่าสิ่งที่คุณป้องกันเอาไว้จะไม่เกิดขึ้นกับคุณ และหากว่ามันเกิดขึ้นแล้ว เราจะมีชีวิตหลังจากนี้อย่างไร




      ชายคนนั้น เป็นผู้ชายที่มีหน้าที่การงานดี เขาสามารถรับผิดชอบครอบครัว ทำให้คนในครอบครัวภูมิใจ เขาทุ่มเทให้กับการงานและคนรอบข้างอย่างเต็มที่ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ลืมที่จะดูแลตัวเอง ทั้งเรื่องอาหาร เขาทานแต่อาหารดีๆ ออกกำลังกาย และมีงานอดิเรกหลากหลาย วันหนึ่งเมื่อเขาตรวจร่างกายและพบว่าตนเองเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย เขากับถึงเสียสติไปเลย เสียใจ และไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของแพทย์
เขาได้ไปปรึกษาอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งมีความลึกซึ้งเกี่ยวกับศาสตร์แห่งเซน เขาได้ถามท่านอาจารย์ท่านนั้นเกี่ยวกับโรคมะเร็งว่า เขาควรทำอย่างไร เพื่อให้โรคร้ายนั้นหายขาดไปจากตัวของเขา พยายามเอาชนะโรคมะเร็งทุกวิถีทาง เพิ่มการออกกำลังกาย งดเนื้อสัตว์ หายาบำรุงต่างๆ ทุกๆวันเขาได้คิดว่าทำอย่างไรถึงจะหาย เขาเครียด...และเป็นกังวลจนสุขภาพจิตเสีย พักหลังเขาทรุดโทรมลงไปมาก หน้าตาซีดเซียว ซูบลง เขากลับไปปรึกษาท่านอาจารย์หลายครั้ง แต่สิ่งที่ท่านอาจารย์ตอบคือ "ทำอะไรไม่ได้ ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้จริงๆ นอกจากการปล่อยวาง"

     การมีชีวิตที่เหลืออย่างไรสิ่งที่สำคัญกว่า การทำชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไรให้มีค่า ให้มีประโยชน์ ในเมื่อมันไม่มีโอกาสหาย เราก็ไม่จำเป็นต้องกัดสู้ จนทำกลายเป็นซ้ำเติมตนเอง กลายเป็นทำร้ายตัวเองให้หนักกว่าเดิม

     ทำชีวิตให้มีความสุข ปล่อยวางกับสิ่งต่างๆ ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่ามันหนัก เราจะยังคงแบกรับมันไว้ทำไม ใช้ชีวิตอย่างมีสติ คิด และทำความดี เมื่อถึงเวลาที่เราต้องจากไป เราจะไม่เสียใจกับเวลาที่หลงเหลืออยู่อย่างมีค่า

      แล้วถ้าหากวันหนึ่ง ที่ฉันรู้ว่า ตัวของฉันเอง...เป็นมะเร็ง ฉันจะใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างไร เราเชื่อ...ว่าคุณเลือกได้ ว่าจะให้สิ่งไหน เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ DEWellness a part of you.




วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2559

เรื่องของ "ฝน"


ใครกันว่า"ฝน" ทำให้คุณไม่สบาย
ใครกันใจร้ายว่า"ฝน"ทำร้ายคุณ
"ฝน"ไม่ได้ผิดอะไร
"ฝน"ไม่ได้ทำอะไรให้คุณเลยจริงๆ
"ฝน"แค่เพียงตกลงมาเพื่อปรับสมดุลอุณหภูมิ ไม่ให้ที่ๆของคุณ...ร้อนเกินไป
แต่ทำไม คุณถึงบอกว่า "อย่าโดนฝน เดี๋ยวจะไม่สบาย" ฝนผิดอะไร?


     หากว่าคุณกำลังเข้าใจผิดว่าการที่เราไม่สบาย เป็นไข้หวัดนั้น มาจากฝนที่ตกลงมา คุณคิดผิด การที่เราจะไม่สบายเป็นไข้หวัดเกิดจากการที่เชื้อไวรัสต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย  แล้วคุณคิดว่า เชื้อไวรัสจะตกลงมาจากฟ้าพร้อมกับฝน สิ่งนั้นคงไม่ใช่ เพราะความจริงแล้ว...เชื้อไวรัสนั้นปะปนอยู่มากมายตามพื้นดิน สิ่งของต่างๆ หากแต่สิ่งที่กำลังจะเกิดต่อไปนี้ต่างหาก ที่ทำให้คุณเป็นไข้หวัด


     สายลม...โหมกระหน่ำ พัดแรง ท้องฟ้ามืดครึ้ม เชื้อโรคต่างๆ ถูกลมพัดฟุ้งกระจายปะปนกับฝุ่นละออง หลายคนที่ใช้ชีวิตอยู่กลางแจ้ง ต่างรีบเร่งเพื่อหาที่หลบฝนจนวินาทีสุดท้าย สิ่งนี้ถูกแล้วหรือ? แล้วสุดท้าย คุณก็เป็นไข้หวัด ไม่สบายอยู่ดี เพราะคุณไม่เคยรู้เลยว่า แท้จริงแล้วเชื้อไวรัสต่างๆ แฝงตัวเข้าสู่โพรงจมูกของคุณตอนฝ่าลมฝนแล้วโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่คุณมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ใช่ว่าจะไม่มี "ฝน"จึงตกเป็นจำเลยของทัศนคติเกี่ยวกับสาเหตุไข้หวัด
   การที่ใครต่อใครที่เอาถุงพลาสติกปิดศีรษะเพื่อไม่ให้เปียกฝน คุณก็ยังคงสามารถเป็นไข้หวัดได้อยู่ดี เชื้อโรค...ไม่ได้เข้าสู่ร่างกายทางศีรษะ แต่ถึงอย่างนั้น การที่คุณเปียกปอนด้วยฝนก็อาจเป็นอีก 1 สาเหตุอ้อมๆ ของการเป็นไข้หวัด เพราะในขณะที่ร่างกายเปียกชื้น ภายในโพรงจมูกจะมีอุณหภูมิที่ลดลงประมาณ 1-2 องศาเซลเซียส ซึ่งนั่น...ทำให้เชื้อไวรัสที่ตกค้างในโพรงจมูกสามารถเจริญเติบโตหรือแบ่งเซลล์ได้นั่นเอง






    จวบกับในช่วงเวลา...ที่ภูมิต้านทานโรคของเราอ่อนล้า ทำให้ไม่สามารถจะทนต่ออะไรแบบนี้ได้ คุณจึงคัดจมูก คุณจึงจาม เพราะร่างกายต้องการขับเชื้อโรคออกไป แต่นั่นก็ทำให้เยื่อบุจมูกเกิดการอักเสบ คุณจึงมีน้ำมูก และหากเชื้อโรคลุกลามไปยังลำคอ คุณจึงเกิดอาการเจ็บคอเพราะการอักเสบ

     หากภูมิคุ้มกันของเราแข็งแรง ร่างกายของเราก็ไม่เป็นไข้หวัดง่ายๆ โดยปัจจุบัน...มนุษย์เรามีสุขภาพกึ่งแข็งแรง เพราะขาดการดูแลเอาใจใส่และบำรุงสุขภาพอย่างถูกวิธี หรือไม่ดีเท่าที่ควร อีกทั้งสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันเลวร้ายขึ้นทุกๆวัน ทำอย่างไร...ให้ร่างกายของคุณแข็งแรง ไม่เป็นโรคง่ายๆ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไม คนเราจึงหาเข้าหาธรรมชาติ แสวงหาสิ่งที่นำมาจากธรรมชาติ เพื่อบรรณาการสุขภาพของเราให้แข็งแรงและมีอายุที่ยืนยาว

     "ฝน" ไม่ควรเป็นจำเลยที่คุณตราหน้า เพราะ"ฝน"ที่ตกลงมา ช่วยปรับสมดุล ให้คุณไม่ร้อนเกินไป เพราะเราเชื่อว่า คุณเลือกได้ว่าจะให้สิ่งไหนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ DEWellness apart of you